คำถามที่พบบ่อย

ใบประกาศคุณวุฒิ ธีทัต

ใบประกาศนียบัตรและคุณวุฒิต่างๆ

  



 

ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพคืออะไร?
ประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองและช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บหรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยผู้เอาประกันจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันให้กับบริษัทประกันตามระยะเวลาที่กำหนด และเมื่อมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล บริษัทประกันจะเข้ามาช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามวงเงินและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านภาระทางการเงินจากค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดได้
ทำไมต้องทำประกันสุขภาพ ทั้งที่มีสวัสดิการอื่นอยู่แล้ว (เช่น ประกันสังคม, สวัสดิการพนักงาน)?
แม้จะมีสวัสดิการพื้นฐานอยู่แล้ว การมีประกันสุขภาพส่วนบุคคลจะช่วยเพิ่มความอุ่นใจและเติมเต็มในส่วนที่สวัสดิการเดิมอาจไม่ครอบคลุม เช่น
  • เพิ่มทางเลือกโรงพยาบาล: สามารถเลือกเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่สะดวกและรวดเร็วกว่าได้
  • ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น: ค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกันสุขภาพจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายส่วนเกินจากสวัสดิการที่มีอยู่ได้
  • ค่าห้องพัก: สามารถเลือกแผนที่ให้ความคุ้มครองค่าห้องพักเดี่ยวมาตรฐานหรือห้องพิเศษได้
  • ความคุ้มครองเพิ่มเติม: สามารถเลือกซื้อความคุ้มครองอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) หรือโรคร้ายแรง
ใครบ้างที่ควรทำประกันสุขภาพ?
ทุกเพศ ทุกวัย และทุกคนที่ต้องการหลักประกันด้านค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่
  • เป็นเสาหลักของครอบครัว
  • ประกอบอาชีพอิสระ หรือไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลจากที่ทำงาน
  • ต้องการวางแผนทางการเงินเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ
  • ต้องการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและสะดวกสบาย
ก่อนซื้อประกันสุขภาพ ต้องพิจารณาอะไรบ้าง?
  1. ประเมินความต้องการของตนเอง: พิจารณาจากอายุ, เพศ, ประวัติสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัว, และไลฟ์สไตล์ เพื่อเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสม
  2. รูปแบบความคุ้มครอง: เลือกว่าต้องการเน้นความคุ้มครองแบบผู้ป่วยใน (IPD) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล หรือต้องการความคุ้มครองผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยหรือไม่
  3. วงเงินความคุ้มครอง: เลือกวงเงินที่เหมาะสมกับค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลที่คาดว่าจะใช้บริการ
  4. เบี้ยประกัน: ควรเลือกเบี้ยประกันที่สามารถชำระได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน (โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้)
  5. เปรียบเทียบแผนประกัน: ศึกษาและเปรียบเทียบความคุ้มครอง ข้อเสนอ และเบี้ยประกันจากหลายๆ บริษัท
ประกันสุขภาพโดยทั่วไปคุ้มครองอะไรบ้าง?
ความคุ้มครองหลักๆ ของประกันสุขภาพแบบพื้นฐานมักจะเน้นไปที่ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยใน (IPD) ซึ่งประกอบด้วย
  • ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการในโรงพยาบาล
  • ค่าแพทย์ตรวจรักษา
  • ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์
  • ค่าผ่าตัดและหัตถการ
  • ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการและวินิจฉัย
"ระยะเวลารอคอย" (Waiting Period) คืออะไร?
ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) คือ ระยะเวลาที่กรมธรรม์ยังไม่คุ้มครองการเจ็บป่วยบางโรค หลังจากที่กรมธรรม์มีผลบังคับแล้ว โดยทั่วไปมีดังนี้

  • การเจ็บป่วยทั่วไป: มีระยะเวลารอคอยประมาณ 30 วัน
  • โรคที่ระบุไว้ในเงื่อนไข: เช่น ไส้เลื่อน, ต้อกระจก, การตัดทอนซิล, เนื้องอกบางชนิด อาจมีระยะเวลารอคอยนานขึ้น เช่น 90-120 วัน

ทั้งนี้ หากเกิดอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครองทันทีหลังจากกรมธรรม์มีผลบังคับ

โรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน (Pre-existing Condition) จะได้รับความคุ้มครองหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทประกันจะไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนการทำประกัน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ขอเอาประกันต้องแถลงข้อมูลสุขภาพตามความเป็นจริงในใบคำขอเอาประกัน หากบริษัทตรวจพบในภายหลัง อาจเป็นเหตุให้บอกล้างสัญญาและไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนได้
เบี้ยประกันสุขภาพคำนวณจากอะไร และทำไมเบี้ยถึงเพิ่มขึ้นตามอายุ?
เบี้ยประกันสุขภาพคำนวณจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ อายุ, เพศ, และแผนความคุ้มครองที่เลือก เบี้ยประกันจะเพิ่มสูงขึ้นตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงในการเจ็บป่วยและเข้ารับการรักษามีมากขึ้นตามวัย
ถ้าไม่เคยเคลมเลย เบี้ยประกันปีต่อไปจะลดลงหรือไม่?
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ บางแผนประกันอาจมี "ส่วนลดประวัติดี" ให้สำหรับปีต่ออายุ หากไม่มีการเรียกร้องค่าสินไหมในปีที่ผ่านมา
ขั้นตอนการเรียกร้องสินไหม (เคลม) ทำอย่างไร?

สามารถทำได้ 2 รูปแบบหลัก

  1. การเคลมผ่านโรงพยาบาลในเครือ (Fax Claim)
    • แสดงบัตรประกันสุขภาพควบคู่กับบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
    • โรงพยาบาลจะประสานงานกับบริษัทประกันเพื่อตรวจสอบสิทธิ์
    • เมื่อได้รับการอนุมัติ ผู้เอาประกันสามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย (ยกเว้นค่าใช้จ่ายส่วนเกินสิทธิ์)
  2. การสำรองจ่ายล่วงหน้าแล้วเคลมภายหลัง
    • ผู้เอาประกันชำระค่ารักษาพยาบาลไปก่อน
    • รวบรวมเอกสารที่จำเป็น ได้แก่ แบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหม, ใบรับรองแพทย์ (ระบุอาการและผลการวินิจฉัย), และใบเสร็จรับเงินฉบับจริง
    • นำส่งเอกสารทั้งหมดให้บริษัทประกันเพื่อพิจารณาคืนเงินค่ารักษาพยาบาล
เบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?
ได้ ผู้เอาประกันสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายสำหรับตนเองไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท นอกจากนี้ เบี้ยประกันสุขภาพที่ทำให้บิดามารดาก็สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด

ประกันชีวิต

ประกันชีวิตคืออะไร?
ประกันชีวิต คือ สัญญาระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกัน โดยผู้เอาประกันจะจ่ายเบี้ยประกันเป็นประจำ และบริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง (เรียกว่า "ทุนประกัน") ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรืออาจจ่ายเงินคืนเมื่อผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่ครบตามกำหนดสัญญา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของประกัน
ทำไมเราถึงต้องทำประกันชีวิต?
การทำประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ
  • สร้างหลักประกันให้ครอบครัว: หากเราจากไปก่อนวัยอันควร เงินจากประกันชีวิตจะช่วยให้ครอบครัวหรือคนที่เรารักสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่ลำบากทางการเงิน สามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเล่าเรียนบุตร หรือชำระหนี้สินได้
  • เป็นมรดก: เป็นวิธีที่ง่ายและแน่นอนในการส่งมอบเงินก้อนให้กับคนที่คุณรัก
  • ลดหย่อนภาษี: เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร
  • เพื่อการออมและเกษียณอายุ: ประกันชีวิตบางประเภทมีการสะสมมูลค่า สามารถใช้เป็นเงินออมในระยะยาวหรือเป็นเงินทุนสำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณได้
ประกันชีวิตมีกี่ประเภทหลักๆ?
ประกันชีวิตโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้
  1. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance): ให้ความคุ้มครองชีวิตในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 10 ปี, 15 ปี, หรือ 20 ปี เบี้ยประกันมักจะต่ำที่สุด แต่จะไม่มีมูลค่าเงินสดสะสม หากผู้เอาประกันไม่เสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด สัญญาจะสิ้นสุดลงและไม่ได้รับเงินคืน
  2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance): ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้เอาประกัน ตราบใดที่ยังมีการชำระเบี้ยประกันอยู่ มีการสะสมมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ และเบี้ยประกันมักจะคงที่ตลอดสัญญา
  3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance): เป็นการผสมผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและการออมเงิน บริษัทจะจ่ายเงินให้เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น ค่าการศึกษาบุตร หรือเพื่อการเกษียณ
  4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance): เน้นการออมเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณ โดยผู้เอาประกันจะจ่ายเบี้ยในช่วงเวลาทำงาน และเมื่อถึงวัยเกษียณ (เช่น อายุ 60 ปี) บริษัทจะเริ่มจ่ายเงินคืนเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอไปจนตลอดชีวิตหรือตามระยะเวลาที่กำหนด
ผู้รับประโยชน์คือใคร?
ผู้รับประโยชน์ คือ บุคคลหรือหน่วยงานที่ผู้เอาประกันระบุไว้ในกรมธรรม์ให้เป็นผู้รับเงินทุนประกันเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต สามารถระบุใครก็ได้ เช่น พ่อแม่ คู่สมรส บุตร หรือมูลนิธิ และสามารถเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์ได้ในภายหลัง
ควรเลือกทุนประกันเท่าไหร่ดี?
จำนวนทุนประกันที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับภาระทางการเงินและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยมีหลักการพิจารณาง่ายๆ คือ
  • คำนวณจากรายได้ : ควรมีทุนประกันอย่างน้อย 5-10 เท่าของรายได้ต่อปี เพื่อให้ครอบครัวมีเวลาปรับตัว
  • คำนวณจากภาระหนี้สิน : ควรครอบคลุมหนี้สินทั้งหมดที่มี เช่น หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ เพื่อไม่ให้ภาระตกไปอยู่กับคนข้างหลัง
  • คำนวณจากค่าใช้จ่ายในอนาคต : เช่น ค่าเล่าเรียนบุตรจนจบการศึกษา หรือค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
เบี้ยประกันคำนวณจากอะไร?
เบี้ยประกันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยปัจจัยหลักที่ใช้ในการคำนวณ ได้แก่
  • อายุ: อายุน้อยกว่า เบี้ยประกันจะถูกกว่า
  • เพศ: โดยทั่วไปเพศหญิงจะมีเบี้ยประกันถูกกว่าเพศชาย เนื่องจากมีสถิติอายุขัยที่ยาวกว่า
  • สุขภาพ: ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีประวัติการเจ็บป่วยรุนแรง จะจ่ายเบี้ยประกันในอัตรามาตรฐาน หากมีปัญหาสุขภาพอาจต้องจ่ายเบี้ยสูงขึ้นหรือไม่สามารถทำประกันได้
  • อาชีพ: อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงอาจส่งผลให้เบี้ยประกันสูงขึ้น
  • จำนวนทุนประกันและระยะเวลาคุ้มครอง: ทุนประกันสูงหรือระยะเวลาคุ้มครองนาน เบี้ยประกันก็จะสูงตามไปด้วย
หากจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหวจะเกิดอะไรขึ้น?

หากไม่สามารถชำระเบี้ยประกันได้ โดยทั่วไปจะมีทางเลือกดังนี้

  • ระยะเวลาผ่อนผัน (Grace Period): บริษัทประกันส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาผ่อนผันให้ประมาณ 30-31 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระ ซึ่งกรมธรรม์ยังคงมีผลคุ้มครองอยู่
  • การกู้เงินจากมูลค่ากรมธรรม์: หากกรมธรรม์มีมูลค่าเงินสดสะสมอยู่ สามารถกู้เงินส่วนนั้นออกมาเพื่อชำระเบี้ยประกันได้
  • การใช้มูลค่าเงินสดชำระเบี้ยอัตโนมัติ (APL): เป็นการกู้ยืมจากมูลค่ากรมธรรม์โดยอัตโนมัติเพื่อนำมาชำระเบี้ย
  • การเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ หรือ การขยายระยะเวลา: เป็นการหยุดชำระเบี้ย แต่ยังได้รับความคุ้มครองต่อไปตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป
หากพ้นระยะเวลาผ่อนผันและไม่ได้ใช้ทางเลือกอื่น กรมธรรม์อาจสิ้นสุดผลบังคับ (Lapse)
สามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้หรือไม่?
ทำได้ โดยเรียกว่า "การเวนคืนกรมธรรม์" หากกรมธรรม์มีมูลค่าเงินสดสะสมอยู่ ผู้เอาประกันจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งคืน เรียกว่า "มูลค่าเวนคืน" ซึ่งมักจะน้อยกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงปีแรกๆ ของสัญญา
เงินสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตต้องเสียภาษีหรือไม่?
เงินสินไหมทดแทนที่ผู้รับประโยชน์ได้รับจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกัน ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สัญญาเพิ่มเติม (Rider) คืออะไร?

สัญญาเพิ่มเติม หรือที่เรียกกันว่า "ไรเดอร์" คือ ความคุ้มครองเสริมที่สามารถซื้อเพิ่มแนบท้ายไปกับกรมธรรม์ประกันชีวิตหลักได้ เพื่อให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น

  • สัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองสุขภาพ (Health Rider): คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่ายา
  • สัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง (Critical Illness Rider): จ่ายเงินก้อนเมื่อตรวจพบโรคร้ายแรงตามที่ระบุ
  • สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ (Accident Rider): ให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ
  • สัญญาเพิ่มเติมชดเชยรายได้ (Income Protection Rider): จ่ายเงินชดเชยรายได้กรณีนอนโรงพยาบาล

ประกันชีวิตควบการลงทุน AIA Issara Extra Plus (Unit Linked)

ประกันชีวิตควบการลงทุน AIA Issara Extra Plus (Unit Linked) คืออะไร?
เป็นประกันชีวิตควบการลงทุน ที่ให้ความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่คัดสรรโดยเอไอเอ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครอง เพิ่ม/ถอนเงินออม หรือหยุดพักชำระเบี้ยได้ตามเงื่อนไข
ประกันชีวิตควบการลงทุน AIA Issara Extra Plus (Unit Linked) เหมาะกับใคร?
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูง เบี้ยประกันต่ำ พร้อมโอกาสสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุน และต้องการความยืดหยุ่นในการวางแผนทางการเงินให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงของชีวิต
อายุเท่าไหร่ถึงจะสมัครได้?
ประกันชีวิตควบการลงทุน AIA Issara Extra Plus (Unit Linked)  สามารถสมัครได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน ถึง 70 ปี
ประกันชีวิตควบการลงทุน AIA Issara Extra Plus (Unit Linked) ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง?
  • กรณีเสียชีวิต: ได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัย บวกกับมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมด
  • กรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง: ได้รับผลประโยชน์ตามจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับกรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (คุ้มครองถึงอายุ 80 ปี) โดยกรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับต่อไป
  • กรณีครบกำหนดสัญญา (อายุ 99 ปี): ได้รับมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมด
เวลท์ตี้โบนัส (Wealthy Bonus) คืออะไร และจะได้รับเมื่อไหร่?
คือผลประโยชน์พิเศษคิดเป็น 50% ของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครองปีแรก โดยจะแบ่งจ่ายเข้าบัญชีธนาคาร 2 ครั้ง
  • ครั้งที่ 1 (10%): เมื่อชำระเบี้ยฯ ครบ 10 ปี
  • ครั้งที่ 2 (40%): เมื่อชำระเบี้ยฯ ครบ 20 ปี ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขครบทุกข้อ เช่น ไม่เคยลดเบี้ยฯ, ไม่เคยถอนเงินจากเบี้ยฯ หลัก และไม่เคยลดจำนวนเงินเอาประกันภัยใน 10 ปีแรก
มีโบนัสอื่นอีกหรือไม่?
มี "โบนัสพิเศษยามเกษียณ (Retirement Bonus)" ในอัตรา 0.45% ต่อปี ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลัก (RPP) โดยจะเริ่มจ่ายเมื่อผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 55 ปีขึ้นไป และกรมธรรม์มีผลบังคับมาแล้วอย่างน้อย 10 ปี และได้ชำระเบี้ยฯ หลักมาแล้วอย่างน้อย 10 ปี
เบี้ยประกันที่จ่ายไปจะถูกนำไปทำอะไร?
เบี้ยประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ จะถูกนำไปลงทุนในกองทุนรวมที่ผู้เอาประกันภัยเลือก เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทน
สามารถเลือกลงทุนเองได้หรือไม่?
สามารถเลือกลงทุนเองได้ตามความต้องการ หรือเลือกใช้บริการ AIA InvestPro ซึ่งเป็นบริการที่เอไอเอจะช่วยดูแลและปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ ผ่านกองทุน AIA Asset Allocation Funds ที่มีให้เลือกหลากหลายตามระดับความเสี่ยง
สามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้หรือไม่?
สามารถทำได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และมีจำนวนเงินขั้นต่ำในการสับเปลี่ยนครั้งละ 1,000 บาท
สามารถหยุดพักชำระเบี้ยได้หรือไม่?
ท่านสามารถใช้สิทธิ "หยุดพักชำระเบี้ย (Premium Holiday)" ได้เมื่อกรมธรรม์มีอายุครบ 3 ปี และมีมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพียงพอสำหรับหักค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยความคุ้มครองยังคงดำเนินต่อไปตราบเท่าที่มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนยังมีอยู่
สามารถถอนเงินจากกรมธรรม์ได้หรือไม่?
สามารถถอนเงินได้ แต่การถอนเงินจากมูลค่าหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครองภายใน 2 ปีแรก อาจมีค่าธรรมเนียม และการถอนเงินจะส่งผลให้มูลค่าบัญชีกรมธรรม์และความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตลดลง
เบี้ยประกันขั้นต่ำเท่าไหร่?
เบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง (RPP) ขั้นต่ำ 6,000 บาทต่อปี โดยต้องมีเบี้ยประกันภัยหลักรวมขั้นต่ำ 12,000 บาทต่อปี
สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?
สามารถนำค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหารกรมธรรม์ และค่าการประกันภัย ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy